นอนกรน ภาษาอังกฤษ Snoring ซึ่งหมายถึงอาการที่เกิดจากกล้ามเนื้อคอคลายตัวขณะหลับจนทำให้ช่องคอแคบลง มีผลให้ต้องหายใจเข้าออกแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีเสียงกรนตามมา
นอกจากนี้การกรนยังเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดการปิดกั้นของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อภายในระบบทางเดินหายใจ เช่น ลิ้น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน คอ หรืออาจเกิดจากสารหล่อลื่นในระบบทางเดินหายใจลดลง ทำให้เกิดอาการแห้ง และบวม ทางเดินหายใจจึงแคบลง เมื่อหายใจจึงเกิดเป็นเสียงกรน
อาการนอนกรนนั้นจะเกิดขึ้นได้กับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะคนอ้วน ผู้สูงวัย ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือโรคจมูกอักเสบ ผู้ที่ทำงานหักโหม หรือออกกำลังกายมากเกินไป นอกจากนี้การดื่มสุรา สูบบุหรี่จัด หรือการกินยานอนหลับก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กรนได้
หากช่องคอแคบลงอีกเรื่อย ๆ ก็จะส่งผลให้เกิดการอุดตันในช่องคอแบบชั่วคราว ทำให้ลมหายใจเข้าออกขาดหายไปชั่วขณะ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งหากใครมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยเอาไว้อาจเป็นบ่อเกิดของโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด และยังทำให้มีปัญหากับคนใกล้ชิดอีกด้วย
แนะนำบทความยอดนิยม กําจัดกลิ่นรักแร้ถาวร จากเว็บไซต์ Rattinan.com
อาการนอนกรน มี 2 ประเภท คือ
- กรนธรรมดา(primary snoring)
จะไม่เป็นอันตราย เนื่องจากไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย แต่จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะกับคู่นอน ทำให้นอนหลับยาก เนื่องจากเสียงดัง
- ภาวะก้ำกึ่งระหว่าง กรนธรรมดา และกรนอันตราย และกรนอันตราย
เป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย นอกจากจะส่งผลกระทบกับคนรอบข้างแล้ว หากยังไม่รักษา อาจมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน และยังมีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยอาจมีอายุสั้น
การที่จะแยกว่าผู้ป่วยเป็นนอนกรนประเภทใด สามารถทำได้โดย การตรวจการนอนหลับ (sleep test)
การรักษา มี 2 ทางเลือก ดังนี้
วิธีไม่ผ่าตัด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ป่วยควรขยันออกกำลังกายแบบแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นซึ่งจะเพิ่มความตึงตัวให้กับกล้ามเนื้อบริเวณคอหอย ทำให้มีการหย่อนและอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยลง
- ลดน้ำหนัก ถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักเกิน ควรลดให้น้ำหนักอยู่ในระดับที่แพทย์แนะนำ เนื่องจากผู้ที่มีน้ำหนักเกิน จะมีไขมันมาพอกรอบคอ หรือทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบ การลดน้ำหนัก จะช่วยลดไขมันดังกล่าว ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้น และมีอาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับน้อยลง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือสัมผัสควันบุหรี่ ภายใน 4-6 ชั่วโมง ก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้เนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนบวม ทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงยาชนิดที่ทำให้ง่วงเช่นยานอนหลับ, ยากล่อมประสาท, ยาแก้แพ้ชนิดง่วง หรือหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนคลายตัวมากขึ้น และสมองตื่นตัวช้าลง ทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนมากขึ้น
- นอนศีรษะสูงเล็กน้อย ประมาณ 30 องศาจากแนวพื้นราบจะช่วยลดบวมของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้บ้าง และควรนอนตะแคง เพราะการนอนหงายจะทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนมากขึ้น
- แนะนำให้ใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกพ่นวันละครั้งก่อนนอน ซึ่งยาสเตียรอยด์พ่นจมูกจะทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น และยังจะช่วยหล่อลื่น ทำให้การสะบัดตัวของเพดานอ่อนและลิ้นไก่น้อยลง ทำให้เสียงกรนเบาลงได้
แนะนำบทความยอดนิยม Miradry จากเว็บไซต์ Rattinan.com
วิธีผ่าตัด
การผ่าตัดจะทำมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน การผ่าตัดไม่ได้ทำให้อาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจหายขาด หลังผ่าตัดอาการนอนกรนและ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจยังเหลืออยู่ หรือ มีโอกาสกลับมาใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สิ่งสำคัญ คือ
- ต้องหมั่นออกกำลังกายเสมอให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนตึงตัวและกระชับ เนื่องจากหลังผ่าตัด เมื่ออายุผู้ป่วยมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนจะหย่อนยานตามอายุ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกลับมาแคบใหม่ การออกกำลังกายแบบแอโรบิค อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การหย่อนยานดังกล่าวให้ช้าลง
- ต้องควบคุมน้ำหนักตัวให้ดีอย่าให้เพิ่ม เนื่องจากการผ่าตัดเป็นการขยายทางเดินหายใจที่แคบให้กว้างขึ้น ถ้าน้ำหนักเพิ่มหลังผ่าตัด ไขมันจะไปสะสมอยู่รอบผนังช่องคอ ทำให้กลับมาแคบใหม่ได้ ซึ่งจะทำให้อาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับกลับมาเหมือนเดิมหรือแย่กว่าเดิมได้
บทสรุป
นอนกรน ภาษาอังกฤษ การนอนกรนมักเกิดขึ้นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักเป็นกับคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งจะมีทั้งแบบการนอนกรนธรรมดา และการนอนกรนอันตราย ในการนอนกรนธรรมดานั้นจะไม่เสี่ยงกับอันตรายมาก แต่จะสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่ร่วมหลับนอนด้วย แต่ในกรณีนอนกรนอันตรายสามารถก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ ดังนั้นหากเกิดภาวะนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที